วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วัดไชยวัฒนาราม...

ชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้เราลืมคำว่า ศาลาท่าน้ำ ตลาดน้ำ เรือนแพ และบ้านทรงใต้ถุนสูง และลืมแม้กระทั่งคำว่า ก๋วยเตี๋ยวเรือ ทั้งที่กินกันอยู่ทุกวัน

น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศนี้ ที่ชุมชนบ้านเรือนเกือบทุกแห่งตั้งอยู่ใกล้น้ำ คำว่า บางก็บอกอยู่แล้วว่า คือสถานที่ที่อยู่ริมแม่น้ำ หรืออยู่บนเส้นทางของลำน้ำลำคลองสายต่างๆ เช่นว่า บางไทร บางบาล บางปะหัน บางโฉมศรี ฯลฯ น้ำท่วมมาแต่ครั้งปู่ย่าตายายแล้ว

ประวัติของอยุธยากล่าวกันว่า ถูกออกแบบมาให้เป็นเมืองน้ำ เพราะตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม เป็นศูนย์กลางของเมือง อยู่ในส่วนที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยแม่น้ำสามสาย คือ เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี จึงมีการขุดคูคลองให้เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอดมาทุกยุค

ด้วยหน้าน้ำ น้ำมากน้ำหลาก คูคลองจำนวนมากเหล่านี้ก็จะได้เป็นที่ระบายน้ำออกไปจากเมืองได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญก็คือ เอาไว้เป็นกำแพงแนวป้องกันน้ำมิให้พุ่งตรงเข้าไปทำลายเมืองและบ้านเรือน

ที่อยุธยา (เมือง และจังหวัดอื่นๆ) ต้องจมอยู่ใต้น้ำและต้องเสียหายหนักก็เพราะคนนั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงบ้านเรือนและชุมชนของตน ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยน น้ำถึงเวลาก็มา การฝ่าฝืนและต่อสู้กับธรรมชาติจึงต้องทุกข์ยากลำบากอย่างที่เห็นกันอยู่
โบราณสถานวัดไชยวัฒนารามของอยุธยาที่ถูกน้ำท่วมคราวนี้ มีประวัติความเป็นมาว่า สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2173 สมัยพระเจ้าปราสาททอง กรุงศรีอยุธยา วัดนี้แปลกแตกต่างไปจากวัดอื่นๆ ก็เพราะพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ช่างไทยออกไปจำลองแบบแผนผังนครวัดของเขมรมาสร้างขึ้นในกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะ

ในแง่สถาปัตยกรรมวัดไชยวัฒนารามนับเป็นวัดที่งดงามและสวยสง่ายิ่ง

วัดไชยวัฒนารามเป็นวัดที่ประกอบด้วยทั้งพระปรางค์ ปราสาทใหญ่น้อย เมรุทิศ เมรุราย มณฑป ลาน พระระเบียงแบบศิลปะเขมร และมีพระพุทธรูปพระอุโบสถและพระเจดีย์ที่เป็นศิลปะแบบของไทย

ปราสาทใหญ่หรือเมรุทิศมีด้วยกันถึง 7 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปใหญ่ ทั้งในปางยืน ปางลีลา และปางมารวิชัยที่งดงามสูงสง่าและมีมุมซุ้มประตูคูหาห้องช่องทางเดินอยู่ภายในกำแพงแก้วอันกว้างขวางและยิ่งใหญ่โอบล้อมไว้โดยรอบ

ประวัติศาสตร์กล่าวว่า วัดไชยวัฒนารามนั้น รจนาขึ้นตามคติของการจำลองจักรวาลในพุทธศาสนาอันไม่เคยปรากฏมาก่อนในกรุงศรีอยุธยา

ยิ่งในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว วัดไชยวัฒนารามแห่งนี้ก็มีเรื่องราวอยู่มาก

เรื่องหนึ่งที่น่าจดจำก็คือในครั้งที่พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้าย ที่วัดแห่งนี้คือสนามรบอันดุเดือด

ไทยใช้วัดไชยวัฒนารามเป็นค่ายรบแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายไทยและพม่าต่างสู้รบกันชนิดข้ามวันข้ามคืนอยู่บนพื้นดินที่เจิ่งไปด้วยน้ำ เพราะวัดตั้งอยู่ริมน้ำ เมื่อไทยเสียค่ายที่วัดนี้ก็เสียกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
วัดไชยวัฒนารามกลายเป็นวัดร้างอยู่กว่า 200 ปีจนกระทั่งได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้

อนึ่ง วัดนี้ที่ได้ชื่อว่า วัดไชยวัฒนาราม ก็เพราะในรัชกาลพระเจ้าปราสาททองนี้ ทำสงครามมีชัยตีได้เมืองเขมรที่แข็งข้อออกไปเป็นอิสระ เอากลับคืนมาได้ การสร้างวัดไชยวัฒนารามนี้ขึ้นจึงเป็นการเสริมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา www.komchadluek.net/detail/20111013/111639/"วัดไชยวัฒนาราม"....html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น